เทศน์เช้า วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะเป็นอาหารของใจ อาหารของใจคือปัญญานะ ทางโลกเขาว่าปัญญา สมอง ถ้าไม่ใช้มันเป็นอัลไซเมอร์ สมองต้องคิดตลอดเวลา เพื่อให้สมองมันกระฉูด ให้มันได้ใช้งานไง อายุการใช้งานของคนมันมี ร่างกาย การใช้งานของคนมันมี แต่ชีวิตนี้ หัวใจมันมีการใช้งานตลอดไปนะ หัวใจ เห็นไหม อาหารของใจ ธรรมะ ธรรมะคือความเข้าใจของเรานะ เวลาฟังธรรมอย่างนี้ ธรรมออกมาจากครูบาอาจารย์เรา มาจากข้างนอก อาหารสำรับที่เราได้กินได้ใช้ประโยชน์เรา เข้าไปในร่างกายของเราถึงจะเป็นอาหารของเรา
ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาทางการวิจัยนั้นเป็นจินตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนาเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดมาจากไหน? ภาวนามยปัญญา จิตตภาวนา การภาวนาต้องใช้จิตทำ แต่ในปัจจุบัน ทางโลกเราใช้สมองทำ สมอง พร้อมกับจิต ถ้าสมองไม่มีจิต สมองทำงานไม่ได้ คนตายสมองอยู่ครบสมบูรณ์ แต่ไม่มีพลังงานตัวนั้น สมองนั้นทำงานไม่ได้ สมองทำงานได้ต่อเมื่อชีวิตของมนุษย์ แต่จิตมันทำงานได้ตลอดไป มันทำงานได้ตลอดไปเพราะอะไร เพราะพันธุกรรมทางจิต
เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ สร้างคุณงามความดีแล้วเราตายไป มันไปกับจิต บุญกุศลแนบไปกับใจ ความดีความชั่วแนบไปกับใจ อาหารของใจคือบุญกุศล คือปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนามยปัญญา แต่ปัญญาทางโลก เราว่าเป็นปัญญาทางโลก ทางโลกมันใช้กันด้วยปัจจุบันนี้นะ ด้วยชีวิตนี้นะ
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาเราหมดอายุขัยไป แต่จิตมันไม่ตาย จิตมันเวียนตายเวียนเกิดไปตามธรรมชาติของมันนะ ถ้าเวียนตายเวียนเกิดในธรรมชาติของมัน สิ่งนี้จิตมันมีคุณประโยชน์อย่างนี้ ถ้าจิตมันมีคุณประโยชน์ มันมีคุณสมบัติของมัน ถ้าไม่มีศาสนา ศาสนาเป็นการตีแผ่ ศาสนาคือการแก้ไข เข้าใจเรื่องของชีวิต กระบวนการของมันตั้งแต่ที่มา ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ที่ไป ตั้งแต่ที่มา เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ การสร้างสมมา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป นี่พันธุกรรมทางจิต การเกิด การตาย การซับ การซ้อน การทำคุณงามความดี สิ่งนี้มันสร้างมา สร้างมาด้วยความคิดทางสมอง
แต่! แต่มันมีเจตนา มันมีคำอธิษฐาน อธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ นี่ตั้งเป้า สิ่งที่เป้าของใจมันมี พอเป้าของใจมันมี เป้านี่มันจะเดินหน้าไป เป้านี้เดินหน้าไป แต่เป้าเดินหน้าไป แต่การเกิดการตาย นี่พันธุกรรมของมันได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข จนกว่ามีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมา จนมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ จนตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนวางธรรมและวินัยไว้ให้เราได้ดื่มกินนะ ให้เราได้ใช้สอย นี่ร่มไม้ ร่มเงาของพระพุทธศาสนา
เราเกิดมาในใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา แล้วเราได้ประโยชน์จากร่มเงาในศาสนานั้นมากน้อยแค่ไหน เราได้ร่มเงาทางศาสนาด้วยทางกายภาพ ด้วยสังคมวัฒนธรรมของพุทธศาสนา สยามเมืองยิ้ม สิ่งนี้ตกผลึกเป็นวัฒนธรรมประเพณี เราเกิดมา เราได้ใช้ทางกายภาพในการทำบุญกุศลในเรื่องของชีวิตในปัจจุบันนี้
ชีวิตในปัจจุบันนี้สำคัญนะ สำคัญเพราะเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วรื้อค้นขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมและวินัยนี้ เทศนาว่าการจนพระโมคคัลลานะ พระปัญจวัคคีย์ต่างๆ เป็นพระอรหันต์ตามๆ กันไป ตามๆ กันไปในชาติปัจจุบันไง
ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ร่มเงา เราใช้ร่มเงาในพระพุทธศาสนา ในกายภาพ ในการดำรงชีวิต มันทุกข์ไหม...ทุกข์! มันต้องมีการทำมาหากินไหม มันต้องขวนขวายเพื่อดำรงชีวิตไหม...ต้อง! กายภาพมันตายได้ มันหมดอายุขัยได้ แต่จิตมันไม่มีการหมดอายุขัย ไม่หมดอายุขัยในตัวของจิตนะ แต่มันหมดอายุขัยในวาระ
ในวาระเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันหมดวาระ แต่ตัวมันมี ถ้าตัวมันไม่มีตัวมันจริง พันธุกรรมทางจิตมาจากไหน พันธุกรรมทางจิต จิตที่มันพัฒนาการของมัน ที่เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดขึ้นมาจนเรามีเชาวน์ปัญญาขึ้นมา มันมาจากไหน ในตัวของมันเองถึงไม่มีวาระ แต่เรามีวาระในการเกิด ในสถานะ สถานะมันมีวาระ วาระคือชีวิตของเรา
ปัจจุบันนี้เราเกิดขึ้นมา ถ้าเรามีอำนาจวาสนา กึ่งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง แล้วการเจริญขึ้นมา เจริญมาที่ไหน ศาสนาเจริญขึ้นที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ มีต้นโพธิ์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นขึ้นมา ศาสนานี่สุดยอดเลย ในปัจจุบันนี้ศาสนาไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่วัตถุ ไปอยู่ที่สิ่งที่การก่อสร้าง ไปอยู่ที่กายภาพ ไปอยู่ที่การอาศัยจากภายนอก แต่ถ้าอาศัยจากภายในล่ะ นี่อาหารของใจ
อาหารของใจ เราฟังธรรม ฟังธรรมขึ้นมามันสะกิดใจเฉยๆ
ฟังธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสดงก็แสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันสะกิดใจเราไหม ชีวิตนี้คืออะไร สิ่งที่มานี้มาจากไหน แล้วในปัจจุบันนี้ทุกข์ยาก มันทุกข์ยากทำอย่างไร แล้วอนาคตจะไปไหนกัน อนาคต จุตูปปาตญาณ จิตนี้ถ้ายังไม่สิ้นกระบวนการถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ มันมีอนาคต แล้วในปัจจุบัน อาสวักขยญาณทำลายกิเลสในปัจจุบันนี้ ชีวิตนี้ในปัจจุบันนี้ แล้วปัจจุบันนี้ นิพพานคือปัจจุบันธรรม ปัจจุบันตลอด ไม่มีอดีต อนาคต อนาคตจิตนี้ไม่ไปเกิด สิ่งที่มาจากอดีตมาจากไหน ก็มาจากปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้รู้อดีต อนาคต แล้วปัจจุบันนี้ทรงตัวอยู่ในปัจจุบันตลอดไป นิพพานมีไง มีพลังงานตัวนี้ มันคงที่ของมันอยู่อย่างนี้ แล้วมันมีของมันน่ะ วิมุตติสุข มันไม่ไปอนาคต
แต่ถ้าชีวิต เราฟังธรรมแล้วไม่สะเทือนใจเรา ธรรมจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงหนึ่งคือความรู้สึกอันนั้น แล้วความรู้สึกอันนี้ นี่ธรรมแสดงขึ้นมา ถ้าเข้าถึงใจเรา ถ้าเข้าถึงใจเรานะ เราจะมีความรู้สึกกระเทือนใจเรา ถ้ามีความรู้สึกสะเทือนใจเรา เราจะตั้งต้นว่าเราจะทำความดีอย่างไร
ความดีของโลก ความดีเขาทำคุณงามความดีต่อกัน จากมือหนึ่ง สละทาน จากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง จากมือหนึ่งสู่มือหนึ่ง เราขวนขวายมา เราทำหน้าที่การงานของเรามา เราหาทรัพย์สินเงินทองมา เราซื้อขายแลกเปลี่ยนมาเป็นอาหาร ปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วจากมือหนึ่งสู่มือหนึ่ง จากใจหนึ่งสู่ใจหนึ่ง จากใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม มันสะกิดใจเราไหม มันทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจเราไหม ถ้ามันทิ่มแทงหัวใจเราเข้ามา เราจะตื่นตัว นี่สติ
เราจะตื่นตัวขึ้นมา ตื่นตัวขึ้นมาในชีวิตนี้ สิ่งที่มีค่านะ แก้วแหวนเงินทองไม่มีค่าเท่ากับความรู้สึกอันนี้หรอก ความรู้สึก หัวใจของเรา ความรู้สึกอันนี้มันมีค่ามาก มันมีค่าเพราะอะไร เพราะมันสามารถพัฒนาการของมันได้ มันสามารถทำให้เราไม่มีอนาคตได้ ไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต แต่มีปัจจุบันอยู่ตลอดไป มีปัจจุบันตลอดไป เพราะมันมีในตัวมันเองอยู่ นี่มันพัฒนาการของมันได้ แล้วการพัฒนาการอย่างนี้เราจะทำอย่างไร เห็นไหม พัฒนาการอย่างนี้ มีในศาสนาพุทธนี้เท่านั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ในลัทธิศาสนาอื่นไม่มีศาสดาองค์ใดบอกว่าเป็นพระอรหันต์เลย เป็นศาสดา ต้องเชื่อเราๆ เท่านั้นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงนะ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อทั้งหมดเลย เพราะความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่ความเชื่อชักนำให้เรามาฟังธรรมได้ ความเชื่อชักนำให้เราเริ่มต้นปฏิบัติได้ ความเชื่อชักนำให้เราขวนขวาย ชักนำให้เราสนใจได้ แต่ปฏิบัติมา ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ
ถ้าเราเชื่อ พระพุทธเจ้าบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา.. เราก็สร้างศีล สร้างสมาธิ สร้างปัญญา นี่สมาธิสร้าง ปัญญาสร้าง ทุกอย่างสร้าง.. มันเป็นสมมุติ มันเกิดจากอารมณ์ความรู้สึกที่เราไปสร้างขึ้นมา แต่สิ่งที่อารมณ์ความรู้สึกมันมีของเรามา เรามีอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว มันมีกิเลสขับดัน พอมีกิเลสขับดันขึ้นไป มันแสดงออกของมัน แสดงออกมันด้วยกิเลสบวกเข้าไป เราถึงต้องตั้งสติ ตั้งสติยับยั้งมัน ยับยั้งมันแล้วทำสมาธิขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้จะเป็นของเรา ไม่ใช่ของที่ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ฟังครูบาอาจารย์มา อันนั้นมันเป็นสัญญาข้อมูลจากข้างนอก มันเป็นธรรมะ ธรรมะที่จากใจดวงหนึ่งยื่นให้อีกใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงหนึ่งยื่นให้อีกใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นได้สามารถสร้างตัวขึ้นมาได้ไหม ถ้าใจดวงนั้นสามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้ นี่การตื่นตัว
ดูสิ ดูพระเรา ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์ ฟากตายๆ พอฟากตายขึ้นมา ครูบาอาจารย์สอนมา แล้วผู้ที่ทำตาม ทำตามขึ้นมา ทำตามกิริยาภายนอก ทำตาม แต่ขณะที่ปัญญามันเกิด มรรคญาณมันเกิด จะเป็นของบุคคลคนนั้น
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ อานนท์ เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย เราจะเอาธรรมของเราไปเท่านั้นเอง พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลานิพพานก็นิพพานเฉพาะองค์พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นี่ธรรมวินัยวางไว้ตลอดเวลา เราจะขวนขวายไหม ถ้าเราจะขวนขวายนะ อาชีพการงานเราก็ทำของเรา นั้นกายภาพ หามาเพื่อดำรงชีวิต หามาเพื่อความเป็นอยู่ แล้วหัวใจมันเร่าร้อนไหม หัวใจมีความทุกข์ไหม แล้วเวลามันหมดวาระ เกิดมาชาติปัจจุบันนี้เรามีสติสัมปชัญญะ เราก็ทำคุณงามความดีกัน แล้วตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปสู่สถานะอะไร พอตายขึ้นไป สร้างบุญกุศลขึ้นมา ตายไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็ลืมตัวมัน พอลืมตัวมัน มันหมดวาระก็เวียนมาอีก พอเวียนมาอีกแล้วมันทุกข์ไหม
แล้วในปัจจุบันนี้สติสัมปชัญญะเราพร้อม ใครบ้างไม่รักตัวเอง ทุกคนรักตัวเองหมดเลย แล้วจะเอาสมบัติอะไรให้กับตัวเอง เอาสมบัติอะไรให้กับเรา ถ้าเอาสมบัติให้กับเรานะ ต้องเอาธรรมะให้กับเรา ถ้าธรรมะให้กับเรา ธรรมะจะถมหัวใจเรานะ ถมความบกพร่อง ใจพร่องอยู่เป็นนิตย์
ความคิดมันแสดงตัวตลอดเวลา มันไม่มีการอิ่มเต็มตลอดเวลา สิ่งใดที่หมักหมมในหัวใจ ชอบคิด ชอบย้ำ ชอบทำ ชอบคิดขึ้นมาให้มันเจ็บแสบในหัวใจ สิ่งที่คุณงามความดีคิดขึ้นมา ถ้าคิดขึ้นมาก็ เราวาสนาไม่มี อำนาจวาสนาเรามีเท่านี้ เราทำคุณงามความดีเข้ามานี้ เราก็ทำได้เท่านี้ก็เป็นความดีของเราแล้ว ความดีเท่านี้ ทำไมเราทำหน้าที่การงานกันเพราะอะไร เราก็อยากมั่งอยากมีกันทุกคนน่ะ เราอยากมีความสุข เราอยากมั่งอยากมี เวลาอย่างนั้นเราทำได้ ทำไมเราทำได้ล่ะ เพราะกิเลสมันชอบ เพราะเป็นตัณหาความทะยานอยาก
แต่เวลามาทำประพฤติปฏิบัติเป็นตัณหาไหม มันไม่ใช่เป็นตัณหา มันเป็นมรรค คำว่าเป็นมรรค เป็นความอยากไหม...อยากเหมือนกัน อยากพ้นทุกข์ อยากมีสมาธิ อยากมีปัญญา อยากมีความสุข สิ่งนี้ปฏิเสธไม่ได้ ของที่มีอยู่คือของที่มีอยู่ มันมีของมันอยู่ แต่เราจะพัฒนาการของมันอย่างไร เราจะวิวัฒนาการมันให้ขึ้นมาเป็นคุณงามความดีของเรา เราจะปฏิเสธจากเริ่มต้น ถ้าปฏิเสธว่าสิ่งใดต้องไม่มีสิ่งใดๆ เลย เราก็เท่ากับชีวิตเราก็ไม่มีเลยหรือ ชีวิตเราไม่มีใช่ไหม ชีวิตเราก็มีอยู่ใช่ไหม พลังงานก็มีอยู่ ทุกข์ สุข ก็มีอยู่ แต่ทุกข์ สุขอันนี้ มันเป็น ทุกข์ สุขของกิเลส ทุกข์ สุข ของโลกียปัญญา คือความทุกข์ สุข ของโลก ความทุกข์ สุข ของการที่เราเกิด เราทำบุญกุศลเกิดมาเป็นมนุษย์ไง สิ่งที่เป็นมนุษย์ ปรารถนากันอย่างนี้
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การครองเรือน ชีวิตการครองเรือนเราเหมือนกับวิดน้ำทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาน้อยๆ ตัวหนึ่ง ความสุขเหมือนปลาน้อยๆ ตัวเดียว ลงทุนลงแรงวิดทะเลทั้งทะเลเลย
นี้ก็เหมือนกัน เราเข้าใจว่าชีวิตครอบครัว ชีวิตของเราจะเป็นความสุขๆ แต่นี่ความสุขทางโลกไง โลกพอใจ โลกปรารถนา โลกแสวงหา แต่ธรรมะไม่ใช่ว่าปฏิเสธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระโมคคัลลานะนะไปเห็นโทษของกาม ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย โทษของกาม ทำไมมันรุนแรงขนาดนี้ โทษของกามไง แต่โลกเขาว่า กามคุณ มันเป็นการสืบเผ่าพันธุ์ นี่กามคุณ ๕ ของโลกเขา แต่พรหมจรรย์ นี่เวลาพระโมคคัลลานะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โทษของกาม ทำไมมันรุนแรงขนาดนี้
โมคคัลลานะ เธอพูดอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราตถาคตก็เกิดมาจากกาม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพ่อมีแม่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากที่ไหน เกิดมาจากพระเจ้าสุทโธทนะ เกิดมาจากแม่ ในเมื่อสิ่งนี้มันมีอยู่ สิ่งนี้มันเป็นไป สิ่งที่มีอยู่ เราจะหาความสุขกับมันอีกหรือ นี่มันสิ่งที่มีอยู่นะ แล้วเรายับยั้งมันด้วยพรหมจรรย์ เรายับยั้งด้วยเนกขัมมะ เนกขัมมะยับยั้งมัน นี่หนึ่งเดียว สุคโต เราอยากไปดี อยากสุคโต
ปัจจุบันนี้สุคโตไหม ถ้าปัจจุบันมันจะไปสุคโต มันต้องดีที่นี่ เรามีคุณงามความดี ความดีเกิดจากความดี ถ้าเราไม่สร้างสมความดีในปัจจุบันนี้ ความดีนี่มันจะต่อยอดมาจากไหน แล้วความดีของใคร ความดีของโลก ครอบครัวมีการดูแลกันรักษากัน ครอบครัวมีความสุขรื่นเริง แล้วเวลาจะพลัดพราก ร้องไห้ทำไม ร้องไห้ทำไม เวลาพลัดพราก ร้องไห้ทำไม เสียใจทำไม คือมันเป็นสิ่งที่มีอยู่
ความดีของโลก เราก็กตัญญูกตเวทีเป็นธรรมดา พ่อแม่ เห็นไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ชีวิตเรานี้เกิดมาจากพ่อจากแม่นะ พันธุกรรมทางกายภาพหมดเลย แต่พันธุกรรมทางจิต...ไม่ใช่ พันธุกรรมทางจิต จิตนี้ต่างคนต่างสร้างกันมา ถ้าตรวจกรรมพันธุ์เป็นของพ่อแม่หมด พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ชีวิตนี้ได้มานะ มันเป็นสายบุญสายกรรม การเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกัน มันมีบุญมีกรรมสืบเนื่องกันมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ในศาสนาพุทธนะ มีเหตุ มีปัจจัย ไม่มีสิ่งใดมันจะขาดด้วนแล้วผุดขึ้นมาโดยธรรมชาติ เว้นไว้แต่สิ่งที่เป็นทิพย์ สิ่งที่เป็นคุณงามความดี คุณงามความดี นั้นมันเป็นของชั่วคราว แต่สิ่งที่สายบุญสายกรรม มันมีของมันมาอยู่ ทีนี้สายบุญสายกรรม ความคิดเรื่องของโลก ความสุขของโลก
เราเกิดมาแล้ว เกิดมาในโลก เกิดมาเป็นมงคล ๓๘ ในชีวิต ขอให้เกิดเป็นมนุษย์เถิด พบพระพุทธศาสนา ขอให้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เพื่อประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ เราเกิดเราได้ครบทุกอย่างเลยในทางมงคลของชีวิต ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา พบพระพุทธศาสนา พุทธปัญญาทำให้เราพ้นจากกิเลส เราจะใช้ไหม ร่มเงาพุทธศาสนา เราใช้ร่มเงาพระพุทธศาสนาด้วยศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณี
แต่พุทธศาสนาไม่มีแค่นั้น ไอ้แค่นั้นมันเปลือกนอก มันเป็นเปลือก ต้นไม้มีเปลือก เพื่อให้ศาสนานี้มั่นคง ประเพณีวัฒนธรรมห่อหุ้มศาสนาไว้ให้ศาสนานี้ยั่งยืน แล้วยั่งยืน แล้วสิ่งที่เป็นแกนของศาสนา เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องของหัวใจ เรื่องของสิ่งที่สัมผัสกับธรรม มันมีอยู่กับเรา สิ่งนี้ไม่ใช้ประโยชน์มันหรือ
ถ้าใช้ประโยชน์ของเรานะ ทำบุญกุศลแล้วตั้งสติ ตั้งสติ อยู่บ้านตั้งสมาธิ ทำสมาธิขึ้นมา หาความสุข หาตัวตนเราให้เจอ ตัวตนคือจิตเป็นสมาธิ จิตมีปัญญาขึ้นมา นี่ร่มเงาของศาสนามันจะเกิดกับเรานะ นี่เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องเป็นไป ถ้ารู้ ต้องเห็น เป็นไป มันอยู่ที่ไหน? มันอยู่ที่ไหน?? มันอยู่กลางหัวอกเรา อยู่กับชีวิตเรา
สมบัติทางโลก ถ้าไม่มีธรรมะคอยเตือนอย่างนี้ เราจะตื่นไปกับโลก แล้วเราก็ทำคุณงามความดีแล้ว เราก็เป็นคนดีแล้ว ทำไมต้องไปปฏิบัติให้มันทุกข์ให้มันยาก ทำไมต้องทรมานตน นี่คิดกันอย่างนั้นหมดนะ ทำไมต้องทรมานตน ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง แล้วคิดไปโน่น แต่ไม่ได้คิดเลยว่าทำร้ายกิเลส ทำร้ายหัวใจที่มันต้องการแสวงหา ที่มันบังคับบัญชาไม่ได้ ที่มันดีดดิ้นในหัวใจ มันดีดดิ้นแล้วเหยียบย่ำ ให้แต่ความทุกข์เราน่ะ ไม่คิดเลยว่าเรายับยั้งมัน แต่ไปบอกว่ามันเป็นการทำให้ตนลำบาก
แต่ถ้าเราคิดว่าเราจะต่อสู้กับกิเลส เราจะต่อสู้กับมัน เราจะต่อสู้กับตัณหาความทะยานอยากที่มันเป็นอวิชชาที่อยู่ในหัวใจของเราโดยธรรม โดยศีล โดยสมาธิ โดยปัญญา โดยธรรมที่เราใช้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้เราเป็นประโยชน์ นี่ธรรมาวุธ อาวุธที่มี ที่ให้สู้กับกิเลส ไม่ใช่สู้ด้วยมือเปล่านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นด้วยมือเปล่าๆ แล้วได้อาวุธมา แล้ววางไว้ แล้วเราจะใช้ไหม เราจะทำไหม นี่ประโยชน์ของเรา ถ้าเรามีสติ มีสัมปชัญญะ เราใคร่ครวญของเรานะ ประโยชน์เกิดขึ้นมาจากตรงนี้มาก
คนที่มีอำนาจวาสนา คือคนฉุกคิด แล้วรู้จักคุณประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ถ้าเราไม่ได้ฟังธรรม เราไม่ได้ฉุกคิดนะ เราเห็นแต่ประโยชน์ของโลก ประโยชน์กายภาพ แล้วก็หาอยู่หากินไปกับมัน อยากมั่งอยากมี ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของบุญกุศลส่วนหนึ่งนะ เรื่องการกระทำของเราด้วย บุญกุศลสร้างมา มันต้องเป็นไป...มีแน่นอน
แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญกุศลมา ขวนขวายไปก็เพื่อสร้างในปัจจุบัน สร้างปัจจุบันคือสร้างในสมบัติเพื่อให้ใจมันมีบุญกุศล แล้วสร้างต่อไป อนาคตมันจะได้ของมัน ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. หนึ่ง ไม่มีสอง ตรัสไว้แล้ว ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนจากความจริงอันนี้ได้เลย เอวัง